ทำความรู้จักบริการคลาวด์ IaaS, PaaS, SaaS และ DevOps

ภาพจาก medium

ปัจจุบันจะมีการให้บริการอยู่ 3 ประเภท ที่ใช้บ่อยๆ คือ
1. Infrastructure-as-a-Service (IaaS) คือ การให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที ( Infrastructure) และระบบการจัดเก็บข้อมูลขององค์กร (Storage) เพื่อรองรับการใช้งาน Software และ Application เช่น Microsoft Azure, Dropbox, Google Drive for business, Amazon Web Services

2. Platform-as-a-Service (PaaS) คือ การให้บริการด้าน Platform สำหรับผู้ใช้งานเช่น Developer ที่ทำงานด้าน Software และ Application โดยผู้ให้บริการ Cloud จะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนา Software และ Application เอาไว้ให้ เช่น Database Server, Web Application เป็นต้น

3. Software-as-a-Service (SaaS) คือการให้บริการด้าน Software และ Application ผ่านทางอินเตอร์เน็ต คล้ายกับการเช่าใช้ คิดค่าบริการตามลักษณะการใช้งาน เช่น Microsoft Office 365
ทั้งนี้ ยังมี Cloud Service รูปแบบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ อีกมากมายเช่น Desktop-as-a-Service (DaaS), Disaster-Recovery-as-a-Service (DRaaS) ฯลฯ


สรุปข้อดีที่ควรหันมาใช้
1. Iass (อิแอส) ถ้าองค์กรเราเช่า Infrastructure ที่เป็นระบบคลาวด์ จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในองค์กร เช่น ถ้าเราต้องการปรับโครงสร้างภายใน เพิ่มแรม เพิ่มฮาร์ดดิส ต้องการเพิ่ม Cpu ใน Data center ของเราเองอาจจะต้องเสียเวลาทำซื้ออุปกรณ์มาติดตั้งแล้วทดสอบระบบ ถ้าต้องติดต่อหลายแผนกก็ต้องทำเรื่องเบิกรอกันไปรอกันมา แล้วบางช่วงอาจลูกค้าใช้เยอะ บางทีใช้น้อย ระบบก็ต้องทำเผื่อไว้ ซึ่งถ้าใช้ระบบคลาวด์ เราก็สามารถปรับโครงสร้างได้รวดเร็ว จ่ายตามที่ใช้จริง และลงทุนต่ำกว่าลงทุนซื้ออุปกรณ์เองทั้งหมด

2. PaaS (แพซ) เป็นแพลตฟอร์มให้เราใช้ในระบบคลาวด์ เช่น เราพัฒนาแอพบนคลาวด์ ปกติถ้าเราใช้ในคอมเรา อาจมีช้ากระตุก หรือคอมหาย ข้อมูลก็หายด้วย ปัญหานี้จะหมดไปถ้าไปอยู่บนระบบคลาวด์

3. SaaS (แซซ) ก็เป็นการใช้ซอฟแวร์บนคลาวด์ ไม่ต้องไปเสียเวลาติดตั้ง บำรุงรักษา อัพเกรดอะไรให้วุ่นวาย มีคนทำแทนหมดแล้ว ช่วยประหยัดเวลา ใช้เท่าไหร่ก็จ่ายตามนั้น

จากทั้งหมด Iaas, PaaS และ SaaS ยิ่งถ้าเป็นบริษัท startup ถ้าต้องมาลงทุนเริ่มต้นกับ Infrastructure แล้วต้องมาติดตั้งซอฟแวร์ทดสอบระบบและอื่นๆ จะต้องใช้เงินที่สูงและช้ากว่าจะได้ใช้ระบบที่มีมาให้แล้ว ทั้งๆที่เราก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าธุรกิจเรามันจะดีหรือเปล่า การใช้บริการทางคลาวด์จึงเหมาะครับ

เมื่อแต่ละองค์กรล้วนต้องการความเร็ว บางตำแหน่งจะเริ่มหายไป เช่น ช่างเดินสายแลน ช่างที่ดูแลอุปกรณ์ทาง Infrastructure ในองค์กรที่เป็นตำแหน่งเดี่ยวๆ

ส่วนตำแหน่ง DevOps (Development and Operation) เริ่มเป็นตำแหน่งที่นิยมมากขึ้น คือทำทั้งฝั่งซอฟแวร์และฝั่ง Infrastructure ไปในตัว เพราะไม่งั้นแบบเมื่อก่อน ฝั่ง Developer ทำโปรแกรมแล้วต้องการ resource ก็ต้องส่งงานมาฝั่ง Infrastructure ซึ่งถ้าฝั่ง Infrastructure พิจารณาแล้วฝั่งซอฟแวร์เองก็ยังไม่สมบูรณ์ก็โยนงานกลับมาให้ฝั่ง Dev แก้ไขอีก ซ้ำซ้อนไปมาแก้เสร็จก็ส่งกลับอีก ทำให้เสียเวลา ดังนั้น DevOps ก็คือคนที่มีความรู้ทั้งสองอย่างไปเลย

ในอนาคตองค์กรต่างๆ จึงต้องการแนว Full stack แล้วทำงานร่วมกันทั้งทีมมากขึ้นเรื่อยๆ แนวแยกแต่ละฝั่งแต่ละสายจะค่อยๆหายไป เพราะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในองค์กรได้ดีเยี่ยม


(ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ ผิดพลาดประการใดแนะนำคอมเม้นท์ผมได้ด้านล่างเลยครับ)

ความคิดเห็น